โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านแม่เหว่ย ซึ่งย้ายที่ตั้งมาจากตำบลแม่เหว่ยคริสตจักร ขึ้นมาที่บ้านบอเลโค๊ะ โดยได้รับบริจาคพื้นที่จากพี่น้องชาวไทยภูเขาเผ่าปกาเกอะญอ บ้านบอเลโค๊ะในพื้นที่ขนาด 3 ไร่ ตั้งอยู่ห่างจากโรงพยาบาลท่าสองยางซึ่งเป็นโรงพยาบาลชุมชน ถึง 93.3 กิโลเมตร และห่างจากตัวจังหวัดตากถึง 306 กิโลเมตร สภาพภูมิประเทศเป็นภูเขาสูงและลาดชัน เป็นพื้นที่ทุรกันดาร ไม่มีไฟฟ้า ไม่มีสัญญาณโทรศัพท์ ชาวบ้านทั้งหมดเป็นชาวเขาเผ่ากะเหรี่ยง หรือปกาเกอะญอ ตั้งบ้านเรือนอยู่กันอย่างกระจัดกระจายตามพื้นที่แนวเขา และบริเวณริมแม่น้ำเมย พรมแดนธรรมชาติกั้นระหว่างประเทศไทยกับสหภาพพม่าเมียนมาร์ เส้นทางคมนาคมเป็นถนนลูกรัง เชื่อมต่อระหว่างหมู่บ้านตัดผ่านแนวภูเขาสูง ลัดเลาะตามไหล่เขา มีฝนตกชุกตลอดทั้งปี อสม. ดรุณี เล่าว่าในช่วงฤดูฝน พวกเราไม่สามารถใช้ถนนในการสัญจรได้เลย เพราะถนนจะถูกตัดขาดด้วยน้ำป่าไหลหลาก หรือดินโคลนถล่ม ถึงคราวที่เจ็บไข้ได้ป่วยขึ้นมานับเป็นเรื่องหนักหนาสาหัสในชีวิต ด้วยว่าการเดินทางไปรับการรักษาที่สถานีอนามัย เป็นเรื่องยาก คนที่บ้านไกลใช้เวลาเดินทางไม่น้อยกว่า 1 ชั่วโมง กรณีที่ใช้รถจักรยานยนต์ หรือ 2-3 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำหากเดินเท้า ส่วนกลุ่มบ้านริมแม่น้ำเมย ติดแนวชายแดน จะใช้เรือหางยาวล่องมาตามแม่น้ำเมย ขึ้นฝั่ง และเดินทางต่อขึ้นไปยังสถานีอนามัยบนหมู่บ้าน เพื่อเพื่อรับการรักษา
พวกเราเป็นคนชายขอบ ทั้งในบริบทภูมิศาสตร์ และชาติพันธุ์ปัจจัยทุกอย่างรอบตัวล้วนเป็นอุปสรรคในเข้าถึงระบบบริการสุขภาพ การมีคุณภาพชีวิตที่ดีจึงเป็นเรื่องเพ้อฝัน ด้วยประชากรทั้งหมดเป็นชาวไทยภูเขา เรามีความเชื่อขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรมเฉพาะตัว อีกทั้งมีความเชื่อผิดๆ เรื่องสุขภาพ ทำให้ขาดความรู้ความเข้าใจในการดูแลตนเอง โรคภัยไข้เจ็บ ตลอดจนโรคระบาดตามฤดูกาลทั้งหลายที่ไม่ค่อยพบเห็นในพื้นที่เจริญแล้ว ยังเกิดขึ้นและคงอยู่กับเราเสมอมา
ชาวบ้านกลัวหมออนามัย เมื่อมีข่าวว่าหมออนามัยมาเยี่ยมบ้าน ชาวบ้านจะพากันหนีเข้าป่า เพราะกลัวโดนจับตรวจโรค หญิงตั้งครรภ์ปฏิเสธรับยาบำรุงเลือดเพราะคนเฒ่าคนแก่มีความเชื่อว่ากินแล้วทำให้ทารกคลอดยาก ไม่ยอมให้เด็กฉีดวัคซีนเพราะกลัวเด็กป่วยไข้ กลัวถูกจับตรวจมะเร็งปากมดลูก หรือมะเร็งเต้านม ซึ่งถือว่าเป็นการผิดผี ผิดศีลธรรม หากเจ้าหน้าที่เข้าบ้านหรือจับต้องตัวเด็กโดยพ่อแม่อนุญาต เจ้าหน้าที่ต้องเสียผีหรือต้องทำพิธีขอขมาชาวบ้าน ทำให้คนในชุมชนของเราส่วนใหญ่ขาดการรับบริการสุขภาพที่ดี
ดรุณีเล่าต่อไปว่า ฤดูฝนในเดือนสิงหาคม ปี พ.ศ. 2558 ความสูญเสียได้เกิดขึ้นอย่างไม่คาดคิด เป็นสิ่งที่สร้างบาดแผลลึกและยังคงติดตรึงในใจของพวกเราพี่น้องชาวปกาเกอะญอไม่เคยลืม เหตุการณ์เศร้าสลดครั้งนั้น เริ่มขึ้นในเวลาตี 2 ของวันที่ 4 สิงหาคม ปี 2558 ในขณะที่ฝนกำลังตกหนัก ตามมาด้วยเหตุดินสไลด์ปิดเส้นทางเข้าออกหมู่บ้าน นางฮิจ่า หญิงท้องแก่ อายุครรภ์ 9 เดือน เกิดอาการตกเลือดอย่างหนัก หมอพื้นบ้านไม่สามารถทำคลอดได้ เพราะเด็กมีภาวะผิดปกติ เวลาแต่ละนาทีสำหรับนางฮิจ่า ผ่านไปอย่างเชื่องช้าเพราะความเจ็บปวดทรมาน จนเวลา 09.00 น. สามีของเธอตัดสินใจขอความช่วยเหลือจากครู ตชด. โรงเรียนในพื้นที่ ประสานต่อทีมแพทย์ให้การรักษาเบื้องต้น และขอความช่วยเหลือจากโรงพยาบาลท่าสองยาง พร้อม ๆ กับขอการสนับสนุนเฮลิคอปเตอร์จากกองบังคับการ ตชด. เพื่อลำเลียงนางฮิจ่าไปรับการรักษาที่โรงพยาบาลใหญ่ในตัวเมือง แต่เนื่องจากเส้นทางเข้าออกหมู่บ้านถูกตัดขาดเพราะเหตุดินสไลด์ ฝนที่ตกลงมาไม่ขาดสายทำให้การเดินทางเข้าช่วยเหลือนางฮิจ่า ของเจ้าหน้าที่ ยิ่งทวีความยากลำบาก กองบินตำรวจตระเวนชายแดนที่ 34 ค่ายพระเจ้าตากที่ได้รับการประสาน นำเฮลิคอปเตอร์จากหน่วยบินตำรวจจังหวัดเชียงใหม่ไปรับนางฮิจ่า แต่อย่างไรก็ตามช่วงเวลาดังกล่าวฟ้าปิด เพราะฝนตกหนัก ยังไม่สามารถทำการบินได้ จนกระทั่งเวลาประมาณ 11.30 น. นักบินเห็นฟ้าเริ่มเปิดจึงพยายามขึ้นบินอีกครั้ง สถานการณ์เวลานี้เลวร้ายและเสี่ยงอันตรายมากจนเรียกกันในกลุ่มนักบินว่า “บินแหวกนรก” ขณะเดียวกันทีมช่วยเหลือในพื้นที่ที่กำลังให้การรักษาเบื้องต้นแก่นางฮิจ่าพบว่าเด็กในครรภ์เสียชีวิตลงแล้ว จึงได้ทำการยื้อชีวิตนางฮิจ่า ที่มีอาการทรุดหนักลงเรื่อยๆเนื่องจากตกเลือดเป็นเวลานาน ทำให้เกิดภาวะช็อก เริ่มมีอาการสับสกระสับกระส่าย และชีพจรเต้นช้าลง เมื่อเฮลิคอปเตอร์มาถึง ทีมแพทย์กลับพบว่าร่างของนางฮิจ่า คลำหาชีพจรไม่ได้แล้ว จึงใส่ท่อช่วยหายใจทำการช่วยฟื้นคืนชีพ และนำส่งโรงพยาบาลท่าสองยางเพื่อยื้อชีวิต ได้ทำการกระตุ้นไฟฟ้าถึง 3 ครั้ง จนกระทั่งเวลา 16.52 น. นางฮิจ่าได้เสียชีวิตตามลูกไปอีก 1 คน ท่ามกลางความโศกเศร้าเสียใจของชาวบ้านและเจ้าหน้าที่ทุกฝ่าย ต่อมาไม่นานสามีของนางฮิจ่า ก็ทำการฆ่าตัวตายตามภรรยาและลูกไปอีกคน จากเหตุการณ์นี้พวกเราสูญเสียพี่น้องปกาเกอะญอไปมากถึง 3 ชีวิต และแน่นอนว่าเหตุการณ์ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งสุดท้ายของการสูญเสีย
ปีถัดมา พ.ศ.2559 ฤดูฝนวนกลับมาอีกครั้ง หญิงตั้งครรภ์พร้อมลูกน้อยที่พยายามเดินทางขึ้นมารับบริการสุขภาพ ทั้งคู่เดินโดยสารเรือหางยาวขนาดเล็ก ล่องมาตามแม่น้ำเมย ความสูญเสียเกิดขึ้นอีกครั้งเนื่องจากเรือลำดังกล่าวเกิดอุบัติเหตุเรือล่ม จมลงกลางแม่น้ำเมย ทำให้หญิงตั้งครรภ์และลูกน้อยที่ตามมาด้วยจมน้ำเสียชีวิตทั้งคู่ และยังเกิดเหตุการณ์ลักษณะเดียวกันซ้ำรอยจุดเดิมอีกในปี พ.ศ. 2560 จากปัญหาเชิงพื้นที่ ทั้งด้านภูมิศาสตร์ ความเชื่อ และวัฒนธรรม วิถีชีวิตที่ยากลำบาก และทางเลือก
กระจายความรู้-สร้างความเข้าใจ-เพิ่มการเข้าถึง
จากเหตุการณ์ในวันนั้น อสม.ดรุณี ตั้งใจแน่วแน่ ในการเป็นผู้นำด้านสุขภาพและเป็นที่พึ่งของพี่น้องชาวปกาเกอะญอ เธอทำงานอย่างหนักร่วมกับเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลบ้านแม่เหว่ย แก้ไขปัญหาด้านสุขภาพในพื้นที่ด้วยทรัพยากรที่มีในชุมชน โดยเฉพาะงานอนามัยแม่และเด็กที่มีความโดดเด่น ด้วยเป็นพื้นที่ผลิตประชากรที่สำคัญของประเทศ อัตราเด็กเกิดในชุมชนชาวเขาเผ่าปกาเกอะญอสูงสวนทางกับอัตราเกิดภาพรวม ของประเทศไทย และเพราะปัญหาอนามัยแม่และเด็กเคยสร้างความเจ็บปวดและเป็นบาดแผลในจิตใจ ของ อสม.ดรุณี นับจากเหตุการณ์สูญเสียพี่น้องชนเผ่า สังเวยชีวิตให้ความยากลำบากในการเข้ารับบริการสุขภาพ เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา
ในวันนี้เธอกลายมาเป็นบุคคลสำคัญ เป็นผู้นำด้านสุขภาพของคนในชุมชน พี่น้องปกาเกอะญอแต่ละกลุ่มบ้าน ในพื้นที่รับผิดชอบของรพสต.บ้านแม่เหว่ย เธอเป็นที่เคารพและเชื่อถือของคนในชุมชน เนื่องจากบุคลิกความเป็นผู้นำที่โดดเด่น มีทักษะในการสื่อสารภาษาถิ่นปกาเกอะญอ และภาษาไทยที่ยอดเยี่ยมที่เธอพยายามเรียนรู้จนพูดและสื่อสารได้อย่างคล่องแคล่ว เธอนำพาคนในชุมชนให้เปิดใจเข้ารับบริการสุขภาพ สื่อสารและถ่ายทอดความรู้ที่ถูกต้องให้คนทุกวัย นับเป็นน๊อตตัวเล็กๆที่เชื่อมประสานระหว่างเจ้าหน้าที่สาธารณสุขและชาวปกาเกอะญอผู้เป็นพี่น้องที่ อสม.ดรุณีรักดุจคนในครอบครัว เธอได้ทลายกำแพงทางวัฒนธรรม ความเชื่อ ที่ต่างกันสุดขั้วของคนในเผ่ากับหมออนามัยจากในเมือง ด้วยกระบวนการทำงานด้านอนามัยแม่และเด็กดังนี้
- การป้องกันมารดาตาย โดยใช้กระบวนการ “แม่เหว่ยโมเดล”
จากแนวคิด 1 อสม. 1 หญิงตั้งครรภ์ ผดุงครรภ์โบราณ อสม. ดรุณี เป็นแกนนำประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลข่าวสาร ผ่านกลุ่มผู้ชุมนุม ผู้นำทางจิตวิญญาณ โดยมีม้าเร็วประจำหมู่บ้าน เป็นผู้กระจายสารไปยังกลุ่มบ้านใกล้เคียง เกิดเป็นเครือข่ายผดุงครรภ์โบราณ มีการจัดการอบรมพัฒนาความรู้ให้แก่ผดุงครรภ์โบราณ การประเมินอาการ การดูแลและการส่งต่อหญิงตั้งครรภ์กรณีฉุกเฉิน
นอกจากนี้ อสม. ดรุณียังเป็นแกนนำ อสม. ในการสำรวจหญิงวัยเจริญพันธุ์ผ่านเครือข่าย อสม. ในแต่ละกลุ่มบ้านดำเนินการจัดกลุ่มหญิงสาวในชุมชน ตามช่วงอายุ 17-19 ปี หากสถานะมีคู่จะนำขึ้นทะเบียนไว้ อายุ 20-45 ปี หากสถานะมีคู่และต้องการมีบุตร จะจัดให้มี อสม. บัดดี้ ประจำครอบครัว ตั้งแต่ ให้ความรู้สุขศึกษา เฝ้าระวัง คัดกรองความเสี่ยงผิดปกติของทั้งแม่และทารกในครรภ์ เสมือนบัดดี้คู่กายคู่ใจตั้งแต่วัยแรกแย้ม วัยเจริญพันธุ์ ตลอดการตั้งครรภ์ จวบจนอนามัยแม่และเด็ก เรียกว่าเป็นบัดดี้ประจำตัว ตั้งแต่ต้นจนจบกระบวนการให้กำเนิดบุตรคุณภาพเลยก็ว่าได้
อสม.ดรุณี นำพาบริการสุขภาพมายังชุมชน และนำชุมชนเข้าไปสู่ระบบบริการ ด้วยความเอาใจใส่และเอาจริงเอาจัง ส่งเสริมนอกจากการให้สุขศึกษาแก่ตัวผู้หญิงโดยตรงแล้วอีกกลุ่มเป้าหมายสำคัญ ที่มองข้ามไปไม่ได้เลยก็คือบุคคลใกล้ชิด ทั้งสามี บรรดาผู้เฒ่าผู้แก่ และญาติๆ ของพวกเธอเหล่านั้นด้วย เนื่องจากบุคคลที่ว่ามานี้เป็นตัวการสำคัญ ในการถ่ายทอดความเชื่อผิดๆ ที่ส่งต่อมาอย่างยาวนานรุ่นต่อรุ่น ในครอบครัว และชุมชน เกิดเป็นความเชื่อฝังรากลึกยากที่จะแก้ไข จึงมีการให้ความรู้ สุขศึกษาเรื่องการเลี้ยงลูกด้วยนมแม่อย่างเดียว 6 เดือน ลบความเชื่อผิดๆ ที่ว่าเด็กสมัยเก่าเกิดมา 1 เดือน ก็กินอย่างอื่นได้แล้ว มีการให้เด็กกินข้าวบด เพราะเชื่อว่าเด็กจะโตเร็ว และแข็งแรง ซึ่งเป็นความเชื่อที่ผิดส่งผลเสียต่อเด็กเป็นอย่างมาก
- คาราวานพื้นที่สูงเชิงรุก กิจกรรมสาธารณสุขที่ลงไปหาคนทุกกลุ่มบ้าน ให้ได้รับบริการสุขภาพเท่าเทียมกัน อสม. ดรุณี เป็นกลไกสำคัญในการออกให้บริการอนามัยแม่และเด็กพื้นที่สูงเชิงรุกนี้ เนื่องจากแต่ละกลุ่มบ้านหากไม่มีคนกลางที่เป็นชาวเขาเผ่าเดียวกัน ที่ชาวบ้านให้ความเคารพมาเป็นตัวกลางนำ เจ้าหน้าที่เข้าไปแล้วละก็ เป็นไปไม่ได้เลยที่เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจะสามารถเข้าถึงชุมชนและได้รับความร่วมมือจากชาวบ้าน มีการสร้างนวัตกรรม จากทรัพยากรตามที่หาได้ในชุมชน ไม่ว่าจะเป็น
- ภาพพลิกมหัศจรรย์ ส่งเสริมการฝากครรภ์ครบ 5 ครั้ง ตามเกณฑ์ เป็นภาพพลิกสื่อ 2 ภาษา ไทย-กะเหรี่ยง ส่งเสริมการฝากครรภ์ ตลอดจนแนะนำแนวทางการดูแลตัวเองขณะตั้งครรภ์ แนะนำการกินยาบำรุงเลือดเพื่อให้เด็กสมบูรณ์แข็งแรง ลูกเกิดรอดแม่ปลอดภัย น้ำหนักเด็กแรกคลอดผ่านเกณฑ์ 2500 กรัม
- “วะ กว้า หนื่อ อ โค๊ะ” กระบอกไม้ไผ่วัดเกรดหัวนม ใช้ในการตรวจความผิดปกติของหัวนมหญิงตั้งครรภ์
- นวัตกรรมกระเป๋านับการดิ้น ไปสอนหญิงตั้งครรภ์เพื่อสังเกตการดิ้น เป็นการสังเกตความผิดปกติของเด็กในครรภ์ที่ทำได้ด้วยตัวเอง หากลูกดิ้น 1 ครั้ง ให้หยิบเม็ดมะขามใส่กระเป๋าไว้ 1 เม็ด เมื่อหมดวันให้จดจำนวนการดิ้นไว้แจ้งกับ อสม. และเจ้าหน้าที่ในการนัดติดตามครั้งต่อไป
นวัตกรรมเปลชั่งน้ำหนักทารกเคลื่อนที่สำหรับติดตามทารกหลังคลอด ใช้ชั่งน้ำหนักเด็กแรกเกิดในการลงลงเยี่ยมบ้านหลังคลอดตามกลุ่มบ้านต่างๆ ซึ่งการพกพาเครื่องชั่งน้ำหนักที่มีขนาดใหญ่ไปหมู่บ้านกลางหุบเขา เส้นทางถนนลูกรังคดเคี้ยว นั้นคงเป็นเรื่องที่ไม่สนุกนัก
“ธงสีเตือนภัย ใส่ใจหญิงตั้งครรภ์” เป็นเครื่องมือในการป้องกันการเสียชีวิตของมารดาและทารกในพื้นที่โดยการระบุหญิงตั้งครรภ์ ที่มีความเสี่ยงและต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด
นำข้อมูลหญิงตั้งครรภ์ทั้งหมดในพื้นที่ในปี มาวิเคราะห์ประเมินความเสี่ยงของการตั้งครรภ์ เช่น เรื่อง ของการเดินทาง ภาวะเสี่ยงของมารดาและทารก เป็นต้น เพื่อจัดระดับการดูแล โดยแบ่งเป็น 3 ระดับตามสี คือ สีแดง = หมายถึงมีความเสี่ยงสูงต้องได้รับการดูแลเป็นพิเศษ สีเหลือง หมายถึง มีความเสี่ยงปานกลาง ต้องได้รับการติดตามดูแลเป็นระยะ และสีเขียว ไม่มีความเสี่ยง ต้องได้รับการดูแลตามเกณฑ์ปกติ หลังจากประเมินประเมินเรียบร้อยแล้ว เครือข่าย อสม.จะนำธงสีไปติดที่บอร์ดแผนที่บ้านตามที่รับผิดชอบ เพื่อระบุพิกัดบ้านของหญิงตั้งครรภ์ราย พร้อมระบุชื่อและรายละเอียดของหญิงตั้งครรภ์บริเวณด้านข้างบอร์ดตามเลขและสีของธง ตลอดจนแจ้งรายละเอียดของหญิงตั้งครรภ์ สีแดงและสีเหลือง ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อประสานการดูแล และเตรียมความพร้อมส่งต่อผู้ป่วยกรณีฉุกเฉิน
ความสำเร็จของ อสม.ดรุณี
เกิดเครือข่ายในการดำเนินงานอนามัยแม่และเด็กทุกกลุ่มบ้าน ชาวบ้านมีความรู้ความเข้าใจ มีทัศนคติที่ดีเกี่ยวกับการรับบริการสุขภาพนับจากเหตุการสูญเสียเมื่อปี 2560 ก็ไม่มีเหตุการณ์แม่ตายลูกตายเกิดขึ้นอีกเลย อสม. ดรุณีเข้ามาเป็นแกนนำ อสม. ดำเนินงานเพื่อแก้ปัญหาด้านอนามัยแม่และเด็กโดยการสร้างเครือข่ายของน๊อตตัวเล็กๆอย่างดรุณีที่เข้าถึงและเข้าใจชุมชนสามารถเข้าถึงคนในแต่ละกลุ่มบ้าน ใช้การสื่อสารถ่ายทอดความรู้ที่ดึงเอาผู้นำชุมชน ตลอดจนผู้นำด้านจิตวิญญาณของชาวเผ่าปกากะญอ ผู้ที่ชุมชนให้ความเชื่อถือและให้ความเคารพศรัทธาเข้ามามีส่วนร่วมรับฟังสะท้อนปัญหา ตลอดจนแลกเปลี่ยนความรู้ และร่วมกันสร้างมาตรการชุมชน ข้อตกลง แนวทางการปฏิบัติในการดำเนินงานอนามัยแม่และเด็ก โดยให้ทางเครือข่าย อสม. ผู้นำชุมชน และผู้นำทางจิตวิญญานได้นำแจ้งให้กับคนในหมู่บ้านได้รับทราบในมาตรการ ทำข้อตกลง “คำสัญญาของพ่อและแม่” “เพื่อให้ลูกรักมีน้ำหนักตัวดี น่ารักพัฒนาการสมวัย เกิดรอดปลอดภัย แม่และพ่อ ขอสัญญาว่า…” ลงชื่อพ่อแม่ ……………………”