กองสนับสนุนสุขภาพภาคประชาชน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
เกษตรอินทรีย์วิถี อสม. สร้างความมั่นคงทางสุขภาพและสิ่งแวดล้อม
*นักวิชาการสาธารณสุขปฏิบัติการ กองสนับสนุนสุขภาพภาคประชาชน กรมสนับสนุนบริการสุขภาพ
จุดเริ่มต้นที่อยากให้คนในชุมชนมีสุขภาพดี
เริ่มต้นเมื่อปี พ.ศ. 2540 ในขณะนั้นชุมชนเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดอย่างรุนแรงของโรคเอดส์ มีผู้คนล้มตายจำนวนมาก เด็กในชุมชนขาดคนดูแลเพราะพ่อแม่เสียชีวิตจากโรคเอดส์ อีกทั้งเด็กก็ไม่เป็นที่ยอมรับของคนในชุมชน ด้วยบทบาทหน้าที่ของ อสม.ธนกร ในฐานะครูผู้ดูแลเด็กในขณะนั้น ได้เห็นและอยู่ร่วมกับปัญหาจึงอยากเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในการดูแลสุขภาพร่วมกับผู้นำชุมชน หน่วยงาน และองค์กร จึงได้อาสาเข้ามาทำหน้าที่ อสม. ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะพัฒนาชุมชนให้ทุกคนมีสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี จากวันนั้นจนถึงวันนี้นับว่าเป็นระยะเวลายาวนานถึง 25 ปี ที่ อสม.ธนกร ได้มีบทบาทสำคัญในการดูแลสุขภาพของคนในชุมชนบ้านสันธาตุอย่างมาก โดยคนในชุมชนส่วนใหญ่จะประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำนาปีละ 2 – 3 ครั้ง มีการใช้สารเคมีในปริมาณสูงและเผาวัสดุเหลือใช้ในพื้นที่การเกษตร ดังนั้นเกษตรกรจึงได้สัมผัสกับสารเคมีตลอดระยะเวลาการทำนา ซึ่งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขได้แจ้งผลการตรวจสารเคมีตกค้างในกระแสเลือดของเกษตรกร ในปี 2563 – 2565 โดยมีภาวะเสี่ยงมากขึ้นในทุกปีและยังพบภาวะไม่ปลอดภัยอีกด้วย พฤติกรรมของคนในชุมชนอีกประเภทก็คือไม่นิยมทำอาหารเอง จะซื้ออาหารปรุงพร้อมทานจากตลาด ทำให้มีถุงพลาสติกและโฟมจำนวนมาก เกิดขยะที่ทำลายยาก นอกจากนั้นอาหารบางอย่างก็มีส่วนผสมที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ สิ่งต่างๆ ที่กล่าวมาทั้งหมดอาจจะเป็นสิ่งเล็กๆ ที่คนในชุมชนมองข้ามมาโดยตลอด แต่มันก็กลับกลายมาเป็นปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อสุขภาพอนามัยของคนในชุมชนบ้านสันธาตุเอง
ผู้เป็นต้นแบบแนวคิดเกษตรอินทรีย์วิถี อสม.
จากปัญหาสุขภาพอนามัยและสิ่งแวดล้อมข้างต้นนั้น อสม.ธนกร มองว่าปัญหั้งสองอย่างมีความสัมพันธ์กันอย่างสิ้นเชิง ไม่สามารถแยกกันได้ จึงได้มีการจัดทำแผนพัฒนาด้านสุขภาพร่วมกับอสม.ทุกคน คณะกรรมการชุมชน และภาคีเครือข่าย ในการเริ่มต้นทำโครงการต่างๆ เพื่อแก้ไขปัญหาสุขภาพ อย่างเช่น การจัดการขยะมูลฝอยให้ถูกต้อง ตามหลัก 3 Rs (Reduce – ลดการใช้ / Reuse – นำกลับมาใช้ซ้ำ / Recycle – นำกลับมาใช้ใหม่) ซึ่งเทศบาลไม่มีการจัดเก็บขยะภายในชุมชน จึงได้อบรมให้ความรู้การคัดแยกขยะในครัวเรือน ชุมชน) การจัดการส้วมและสิ่งปฏิกูลให้ถูกตามหลักสุขาภิบาล การจัดบ้านและที่พักอาศัยให้สะอาด ถูกสุขลักษณะ การจัดการมลพิษทางอากาศ (PM 2.5) โดยเคาะประตูบ้านเพื่อให้ความรู้เรื่องการปฏิบัติตัว การเฝ้าระวังกลุ่มเสี่ยงที่เวลาปริมาณฝุ่นอยู่ในระดับวิกฤตจะส่งต่อกลุ่มเสี่ยงไปยังห้องปลอดฝุ่นของ รพ.สต. ทันที นอกจากนี้ อสม.ธนกร ยังได้ริเริ่มคิดค้นสิ่งที่มีประโยชน์มากๆ ต่อสุขภาพคนในชุมชน ที่ถือว่าเป็น “นวัตกรรม” ชิ้นโบว์แดงของชุมชนที่ประสบความสำเร็จอย่างมากเลย นั่นก็คือ “แนวคิด 4 มี 3 ไม่ 2 ให้ 1 ห้าม” ศูนย์การเรียนรู้เกษตรอินทรีย์วิถี อสม.
56 / ผลงาน อสม. ดีเด่นระดับชาติ ประจำปี งบประมาณ 2566 “กว่าต้นไม้จะเติบโต…กว่าจะเป็ น อสม. ดีเด่นระดับชาติ”
อสม.ธนกร เป็นผู้ดูแลหลักของ “ศูนย์การเรียนรู้เกษตรอินทรีย์วิถี อสม.” แห่งนี้ ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของความสำเร็จที่ตอบโจทย์ในการจัดการสุขภาพชุมชนและอนามัยสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน โดยได้นำเอาหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้เป็นแนวทางการทำงาน เน้นทำการเกษตรด้วยหลักธรรมชาติ ไม่ทำลายสิ่งแวดล้อมทำให้ผลผลิตที่ได้คือความมั่นคงทางสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย ซึ่งเริ่มจากแนวคิด 4 มี (มีน้ำ มียา มีนา มีผัก) มีการจัดหาและเฝ้าระวังคุณภาพอาหารและน้ำดื่ม โดยสุ่มตรวจตัวอย่างอาหารและน้ำดื่มทุกปี อสม.ธนกร เป็นต้นแบบในการใช้พื้นที่เล็กๆ ขนาด 2 x 2 เมตร รอบบ้านตัวเอง สำหรับปลูกผักอินทรีย์ที่ปลอดสารพิษเอาไว้บริโภค และทำนาอินทรีย์อย่างจริงจัง ตั้งแต่ปี พ.ศ.2559 จนปัจจุบันสามารถรวบรวมพันธุ์ข้าวที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพได้ถึง 25 สายพันธุ์ แบ่งเป็นข้าวเหนียว 10 ชนิด ข้าวเจ้าอีก 15 ชนิด จนปัจจุบันเกิดครัวเรือนต้นแบบตามมาอีกมากมาย ส่งผลให้คนในชุมชนมีอาหารปลอดภัยไว้รับประทาน ชุมชนเกิดรายได้ในการส่งออกผลิตผล ซึ่งการมีครบ 4 มีนี้ ก็เหมือนมีปัจจัย 4 ในการดำเนินชีวิตแล้ว เพราะถ้ามีการบริโภค อุปโภคที่ปลอดภัย ก็ถือเป็นสารตั้งต้นต่อการมีสุขภาพที่ดีมากๆ เลย 3 ไม่ (ไม่เผา ไม่ฆ่า ไม่ใช้สารเคมี) ไม่เผาวัสดุเหลือใช้จากการเกษตร ไม่ใช้สารเคมีในการฆ่าวัชพืชหรือแมลง ถือเป็นการสร้างและป้องกันการเกิดปัญหาสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี 2 ให้ (ให้สุขภาพดีต่อคนในครอบครัวและคนในชุมชน) โดยสร้างความรอบรู้ด้านสุขภาพ เพื่อให้คนในชุมชนเกิดพฤติกรรมที่อยากจะดูแลสุขภาพตนเองและครอบครัวที่จะนำพาให้ดัชนีสุขภาพของชุมชนดีขึ้นตามไปด้วย และแนวคิดสุดท้าย 1 ห้าม (ห้ามผิดสัจจะ) แนวคิดข้างต้นนี้ยังทำให้เกิด 3 ป (ปลอดภัย ประหยัด ประโยชน์) อีกด้วย
ด้วยความที่ อสม.ธนกร เป็นคนที่ชอบเรียนรู้ จึงได้พัฒนาความรู้ด้านเกษตรอินทรีย์จนสามารถเป็นวิทยากรที่มีความเชี่ยวชาญ เพื่อนบ้านให้การยอมรับ เพื่อนร่วมงานก็ชื่นชม ทำให้การทำงานทุกอย่างบรรลุตามวัตถุประสงค์ไปด้วยดี โดยการทำงานจะเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนและชักจูงเพื่อนบ้านให้เข้าร่วมกิจกรรมเป็นหลัก ในศูนย์การเรียนรู้เกษตรอินทรีย์วิถี อสม. มีห้องเรียนอารยะเกษตร ห้องเรียนธรรมชาติศาสตร์พระราชา ได้เกิดเครือข่ายกลุ่มเกษตรพัฒนาน้ำคำและน้ำจันทร์ เครือข่ายบวร (บ้าน วัด โรงเรียน) ศูนย์การเรียนรู้แห่งนี้ยังเป็นแหล่งความรู้ให้เยาวชนทั้งในและนอกชุมชนได้มาเรียนรู้การทำเกษตรอินทรีย์ ภายใต้กิจกรรมเหล่านี้ได้หล่อหลอมให้เกิดการทำงานร่วมกันของภาคีเครือข่ายอย่างเป็นรูปธรรม ปลูกฝังแนวคิดที่ดีให้เยาวชน สร้างวิถีชีวิตและจิตวิญญาณของผู้คนให้ขับเคลื่อนสังคมในการจัดการสุขภาพตนเองและสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืนต่อไป
เคล็ดลับความสำเร็จในการจัดการสิ่งแวดล้อมที่ส่งผลต่อสุขภาพ
การดำเนินการใดๆ นั้นจะต้องมีแนวทางการดำเนินงานที่จะส่งผลให้งานนั้นบรรลุผลสำเร็จ ซึ่ง อสม.ธนกร และพี่น้อง อสม. ในชุมชน ได้ทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่สาธารณสุข และภาคีเครือข่ายต่างๆ ตามแนวทางในแบบของชุมชน ดังนี้
- การจัดทำแผนด้านสุขภาพ ทำประชาคมเพื่อร่วมกันสำรวจและประเมินสถานการณ์ชุมชน เพื่อวิเคราะห์และจัดลำดับความเสี่ยงที่มีผลกระทบต่อสุขภาพของคนในชุมชน จากนั้นจัดลำดับความสำคัญของปัญหา เพื่อจัดทำแผนพัฒนาด้านสุขภาพร่วมกับภาคีเครือข่าย และจัดทำโครงการเพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป
- การจัดกิจกรรมด้านสุขภาพ เป็นแกนนำและชักชวนคนในชุมชนมาร่วมกิจกรรมการดูแลสุขภาพ ให้ครอบคลุมทุกกลุ่มวัย ทั้งด้านสร้างสุขภาพและด้านซ่อมสุขภาพ
- การจัดการสุขภาพอนามัย เป็นต้นแบบในการสร้างสุขภาพ ติดตาม และให้คำแนะนำคนในชุมชนเพื่อนำไปสู่การดูแลสุขภาพตนเอง ครอบครัว และชุมชน
- การจัดการอนามัยสิ่งแวดล้อม ให้ความรู้ ความเข้าใจและสร้างความตระหนักให้คนในชุมชน โดยแก้ปัญหาตามหลักการพื้นฐาน
- การประเมินผลการดำเนินงานแบบมีส่วนร่วม เป็นขั้นตอนที่เกิดประโยชน์ต่อชุมชนมากที่สุด เพราะชุมชนได้รับรู้สถานการณ์ ได้เห็นถึงความสำคัญและผลการดำเนินงานต่างๆ ที่ผ่านมา สามารถค้นหาจุดอ่อนการดำเนินงานและหาแนวทางแก้ไขได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ประสานการทำงานกับภาคีเครือข่ายเป็นเลิศ
นอกจากจะมีแนวทางที่เป็นแบบแผนในการดำเนินงานให้บรรลุวัตถุประสงค์แล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีส่วนร่วมของภาคีเครือข่ายต่างๆ นี่แหละ จากอุปนิสัยของอสม.ธนกร ที่เป็นคนที่อัธยาศัยดี ใฝ่รู้ใฝ่เรียนอยู่เสมอ เมื่อมีการประชุมต่างๆ อสม.ธนกร จะไม่ขาดประชุมเลยสักครั้ง ทำให้ได้สั่งสมประสบการณ์ มีทักษะที่ดีในการถ่ายทอดความรู้ให้ครอบครัว และคนในชุมชนผ่านเวทีต่างๆ ทั้งการประชุมประจำเดือนของชุมชน การประชุมประจำเดือนของ อสม. การพูดคุยกันในกลุ่มย่อยต่างๆ เช่น กลุ่มออมทรัพย์ กลุ่มเกษตรกร กลุ่มน้ำดื่ม ตลอดจนการให้ความรู้เสียงตามสายในหมู่บ้าน เรียกได้ว่าถ้ามีการแบ่งปันความรู้ที่ไหนก็จะมีอสม.ธนกร อยู่ด้วยเสมอ อีกทั้งยังเป็นแกนนำด้านการพัฒนาหมู่บ้านที่เน้นการทำงานอย่างมีส่วนร่วมกับภาคีเครือข่าย โดยใช้หลักร่วมคิด ร่วมตัดสินใจ ร่วมตรวจสอบ ร่วมแก้ไขปัญหา และร่วมรับผิดชอบชุมชน นอกจากนี้ยังเป็นแกนนำ การพัฒนาด้านสาธารณสุขอีกด้วย ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ทำให้อสม.ธนกร มีคนรู้จักและมีเครือข่ายเยอะมากๆ ทั้งในชุมชนและนอกชุมชน หน่วยงานต่างๆ จึงไว้ใจให้ อสม.ธนกร รับหน้าที่และมีบทบาทสำคัญสำหรับหน่วยงานอยู่เสมอ นี่แหละนะที่เขาเรียกว่า “คนเก่ง อยู่ที่ไหน ใครก็เห็น”